ดอกเบี้ยสูง-น้ำมันพุ่ง เสี่ยงเกิด “Stagflation” วิกฤตที่นักลงทุนต้องระวัง

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ระบุว่า ภายหลังจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกตั้งแต่ปี 2565 ส่งผลให้เกิดการการชะลอตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้ออาจมีแนวโน้มเร่งตัวตามราคาพลังงาน หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน และพันธมิตร หรือ โอเปกพลัส (OPEC+) ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบอีก 1.16 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งได้กลายเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยง ต่อการที่จะเกิดภาวะถดถดถอย (Recession) อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และเงินเฟ้อสูง หรือที่เรียกว่า Stagflation

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุด ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI Manufacturing) เดือน มี.ค. ของสหรัฐอเมริกาและยุโรป อยู่ในต่ำกว่าระดับ 50 จุด บ่งชี้ถึงภาคธรุกิจกำลังอยู่ในโซนหดตัวลง

  • ดัชนี PMI Manufacturing ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 46.3 ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 47.5 และ ต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี หลังมีการชะลอตัวในการจ้างงาน ยอดสั่งใหม่และราคาสินค้า
  • ดัชนี PMI manufacturing ยุโรป อยู่ที่ 47.3 มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ 47.1 แต่ยังอยู่ในโซนหดตัว โดยอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 เป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกัน

ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจเดือนมี.ค.ฟื้นตัว ดีเหนือระดับ 50 เดือนที่ 2

สงกรานต์นี้ คาดสนามบินทะลัก 2.3 ล้านคน AOT แนะเผื่อเวลาเดินทาง 3 ชม. คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ทั้งนี้ถือเป็นความเสี่ยงต้องระวัง ว่าเศรษฐกิจอาจเกิดภาวะถดถอยได้ และตอกย้ำด้วยข้อมูล Inverted Yield Curve ของส่วนต่างระหว่างพันธบัตร (Bond Yield) อายุ 10 ปี และอายุ 2 ปี ของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2000-2020 หากติดลบมักเป็นสัญญาณชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งได้เกิดขึ้นมาแล้ว 3 ครั้ง ได้แก่ วิกฤตภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม (Dot Com), วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ และวิกฤตโรคโควิด-19 (COVID-19)

โดยจุดที่น่าสนใจ คือ หากส่วนต่างระหว่างพันธบัตรอายุ 10 ปี และอายุ 2 ปี พลิกจากแดนลบ กลับมายืนในแดนบวกในช่วง 0-1% มักเป็นสัญญาณเตือนของภาวะถดถอยกำลังจะเกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนถัดไป

ซึ่งงในปัจจุบันระดับ ส่วนต่างระหว่างพันธบัตรอายุ 10 ปี และอายุ 2 ปี ค่อย ๆ ฟื้นกลับจากจุดต่ำสุด -1.07% มาที่ -0.5% แล้ว จึงมองว่าไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก เพราะหากสุดท้ายกลับมายืนเหนือ 0 ได้ จะเป็นสัญญาณเตือนสหรัฐฯ เข้าภาวะถดถอยใกล้เข้ามาทุกขณะ

นอกจากนี้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น จึงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เงินเฟ้อทั่วโลกชะลอตัวได้ช้ากว่าคาด หรือเงินเฟ้ออาจกลับมาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามถ้ากลับมาดูที่ไทยราคาน้ำมันดิบ เดือน มี.ค. -20.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) น่าจะเป็นแรงหนุนให้เงินเฟ้อไทยลดลงได้

ขณะที่ระยะถัดไปแม้ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะไม่ทำให้เงินเฟ้อไทยเร่งตัวขึ้นแรงมากนัก เนื่องจากราคาน้ำมันในช่วงปีที่ผ่านมามีฐานที่ค่อนข้างสูง เป็นเพราะแรงกดดันจากการทำสงครามรัสเซีย-ยูเครน

ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงในหลายประเทศ เริ่มฉุดรั้งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะถดถอยมากขึ้น รวมถึงเงินเฟ้ออาจแนวโน้มเร่งตัวตามราคาพลังงาน จึงปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการที่อาจเข้าสู่ภาวะ Stagflation ในระยะถัดไป และอาจเข้ามากดดันต่อภาพรวมของตลาดหุ้น

ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยผ่านบทวิเคราะห์ระบุว่า ภายหลังจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกตั้งแต่ปี 2565 ส่งผลให้เกิดการการชะลอตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น และอัตราเงินเฟ้ออาจมีแนวโน้มเร่งตัวตามราคาพลังงาน หลังกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน และพันธมิตร หรือ โอเปกพลัส (OPEC+) ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบอีก 1.16 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งได้กลายเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยง ต่อการที่จะเกิดภาวะถดถดถอย (Recession) อาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และเงินเฟ้อสูง หรือที่เรียกว่า Stagflation ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุด ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI Manufacturing) เดือน มี.ค. ของสหรัฐอเมริกาและยุโรป อยู่ในต่ำกว่าระดับ 50 จุด บ่งชี้ถึงภาคธรุกิจกำลังอยู่ในโซนหดตัวลง ดัชนี PMI Manufacturing ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 46.3 ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 47.5 และ ต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี หลังมีการชะลอตัวในการจ้างงาน ยอดสั่งใหม่และราคาสินค้า ดัชนี PMI manufacturing ยุโรป อยู่ที่ 47.3 มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ 47.1…