เปิดแผน ‘เอ็มจี’ รุกหนักตลาดอีวีในไทย หลังเดินทางไกลครบ 10 ปี

วันนี้แบรนด์ MG เรียกกระแสรถไฟฟ้าได้กระหึ่มอีกครั้ง หลังจากที่ปีนี้ส่งรถอีวีลงตลาดเพิ่มอีก 2 รุ่น และกลายเป็นแบรนด์ที่จำหน่ายรถไฟฟ้ามากถึง 5 รุ่น 5 สไตล์ ด้วยบทบาทการเป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย รวมทั้งการส่งออกไปจำหน่ายในภูมิภาคอาเซียน ควบคู่ไปกับการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เสริมความแข็งแกร่งให้สังคมยานยนต์ไฟฟ้าของเมืองไทยสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด รับบทเป็นผู้ผลิตรถยนต์ เอ็มจี โดยมีฐานการผลิตตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 437.5 ไร่ มีกำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 100,000 คันต่อปี

ซึ่งปัจจุบันพื้นที่นี้ได้ถูกใช้งานไปแล้วกว่า 300 ไร่ ประกอบด้วย โรงงานประกอบตัวถัง (General Assembly Shop) โรงงานพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) โรงผลิตตัวถัง (Body Shop) รวมถึงคลังจัดเก็บอะไหล่เพื่อรองรับรถยนต์ของเอ็มจีทุกรุ่น ซึ่งพื้นที่อีก 137.5 ไร่ จะถูกพัฒนาให้เป็นพื้นที่ “NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK” ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 75 ไร่ เพื่อเตรียมผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ประกอบไปด้วย อาคารโรงงานสำหรับการพัฒนาชิ้นส่วนโมดูลแบตเตอรี่ รวมถึงไลน์การผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าของ เอ็มจี และพื้นที่สำหรับพัฒนาชิ้นส่วนสำหรับการประกอบรถยนต์เอ็มจีร่วมกับพาร์ทเนอร์บริษัทชั้นนำ

นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มลานจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์และคลังสินค้าโลจิสติกส์แห่งใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการขนส่ง ชิ้นส่วนหลักของรถยนต์ไฟฟ้าจากเอ็มจี จะสามารถผลิตในประเทศ

สำหรับ NEW ENERGY INDUSTRIAL PARK แบ่งเป็น 3 ระยะการก่อสร้าง โครงการระยะแรกตั้งเป้าแล้วเสร็จพร้อมใช้งานภายในเดือนตุลาคม 2566 โดยมีมูลค่าการลงทุนสำหรับโครงการระยะแรกมากกว่า 500 ล้านบาท สำหรับการปักหมุดลงทุนครั้งนี้น่าจะเป็นการขับขยายอุตสาหกรรมยานยนต์เมืองไทยไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ในวันที่ MG สามารถผลิตรถอีวีในประเทศไทยได้จริงอาจจะทำให้การเข้าถึงรถไฟฟ้าง่ายยิ่งขึ้น มีบริการอะไหล่ที่รวดเร็ว ผลประโยชน์จะตกไปเป็นของคนไทยทันที

ครั้งแรกของการขยับแบรนด์สู่ตลาดพรีเมียมของเอ็มจีคำพูดจาก ทดลองปั่นสล็อต

เอ็มจี เป็นแบรนด์รถไฟฟ้าที่ส่งมอบถึงมือคนไทยแล้วกว่า 10,000 คัน จากจำนวน 5 รุ่น ได้แก่ NEW MG ZS EV , NEW MG EP , NEW MG4 ELECTRIC , NEW MG ES โดยทั้ง 4 รุ่น นี้ เสนอขายในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท และรุ่นล่าสุดซึ่งเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ด้วยการเปิดอีวีเซกเมนต์ใหม่ MPV ไฟฟ้า100% แบบ 7 ที่นั่ง “NEW MG MAXUS 9” และถือเป็นครั้งแรกของ เอ็มจี ที่กระโดดลงมาเล่นในตลาดรถพรีเมียมด้วย ราคาเริ่มต้นที่ 2.499 ล้านบาท

ความเหนือชั้นของโมเดลนี้ คือ ความเพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกและฟีเจอร์ล้ำสมัยครบทุกตำแหน่งที่นั่ง ตำแหน่งผู้ขับขี่มีเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารปรับอัตโนมัติ 4 ทิศทาง กระจกมองหลังผ่านกล้อง Streaming Media Rearview Mirror กับมุมมองที่หาไม่ได้จากรถทั่วไป มีหน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอกลางทัชสกรีนขนาด 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android ช่องเชื่อมต่อ USB ที่มากถึง 9 ตำแหน่ง พลังเสียงแบบรอบด้านด้วยลำโพงมากถึง 12 จุด และความเหนือระดับของโมเดลนี้อยู่ในตำแหน่งเบาะนั่งแถวที่สองแบบ VIP Captain Seat ที่มีระบบบันทึก ระบบนวดมากถึง 8 โปรแกรม และสามารถปรับระดับอุณหภูมิได้ตามต้องการ มีโต๊ะพับรองรับการนั่งทำงานขณะโดยสาร

ประตูข้างทั้ง 2 ฝั่งเป็นแบบสไลด์ด้วยไฟฟ้า พร้อมฝากระโปรงท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า หลังคาเป็นแบบ Dual Panoramic Sunroof ขนาดใหญ่ ทำให้ห้องโดยสารดูโปร่ง โล่ง ไม่อึดอัด อีกทั้งยังมี Ambient light ที่สามารถเลือกเปลี่ยนได้มากถึง 64 เฉดสี ที่ช่วยเพิ่มความสุนทรีย์ให้กับทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ระบบปรับอากาศเป็นแบบ Dual Zone ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สะท้อนการออกแบบที่คำนึงถึงทุกพื้นที่ภายในรถ

ด้านสมรรถนะการขับขี่ของ NEW MG MAXUS 9 เรียกได้ว่า สมฐานะของ e-MPV หนึ่งเดียวในไทย ด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุดที่ 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แบบลิเธี่ยมไอออน จัดวางแบบ Cell-To-Pack ขนาดความจุ 90 kWh ให้ระยะวิ่งสูงสุดที่ 540 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC พร้อมรองรับการชาร์จเร็วสูงสุดที่ 120 kWh โดยชาร์จไฟจาก 30% – 80% ใช้เวลาเพียง 30 นาที และการชาร์จแบบธรรมดา รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 11 kWh โดยชาร์จไฟจาก 5% – 100% ในเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยคุณสมบัติการเป็นรถครอบครันจึงครบครันด้วยระบบความปลอดภัยตั้งแต่โครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ Full Space Frame ถุงลมนิรภัยรอบคัน และระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับสูงอย่าง ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM พร้อมระบบ ADAS รวม มากถึง 25 ระบบ

โดย NEW MG MAXUS 9 ได้รับมาตรฐาน 5 ดาว ทั้ง EURO NCAP และ AUSTRALIAN NCAP และพร้อมทำตลาดและจัดจำหน่ายในไทย 2 รุ่นย่อย ได้แก่ “รุ่น X – LUXURY” ที่มีให้เลือก 2 สี คือ สีดำ และสีขาว จัดจำหน่ายในราคา 2.499 ล้านบาท และ “รุ่น V – SUPER LUXURY” ที่มีให้เลือก 3 สี คือ สีดำ และสีขาว จัดจำหน่ายในราคา 2.699 ล้านบาท และสีพิเศษเทาหลังคาดำ แกรนิต เกรย์ เพิ่ม อีก 30,000 บาท ซึ่ง เอ็มจีออกแคมเปญมูลค่า กว่า 120,000 บาท

  • ฟรี MG HOME CHARGER จำนวน 1 ชุด มูลค่า 42,057 บาท
  • ฟรี ค่าติดตั้ง MG HOME CHARGER มูลค่า 18,692 บาท
  • ฟรี ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พ.ร.บ. คุ้มครอง 1 ปี
  • พิเศษ! เงื่อนไขการรับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
  • พิเศษ! ขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินไม่จำกัดจำนวนครั้ง และไม่จำกัดระยะทาง พร้อมบริการรถ Limousine Service กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ตลอด 5 ปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง สำหรับรถล็อตแรกเริ่มมีการส่งมอบให้กับลูกค้าแล้ว และภายในเดือนมิถุนายน 2566 NEW MG MAXUS 9 จะถึงมือลูกค้าคนไทยกว่า 500 คันแน่นอน

MG เป็นแบรนด์เดียวที่เอาจริงเอาจังกับการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จ จึงเป็นความได้เปรียบของลูกค้าเอ็มจีที่สามารถใช้บริการสถานี MG SUPER CHARGE ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วกว่า 130 แห่ง รวมถึงศูนย์บริการทั่วประเทศให้สามารถรองรับบริการรถยนต์ไฟฟ้าในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ”

วันนี้แบรนด์ MG เรียกกระแสรถไฟฟ้าได้กระหึ่มอีกครั้ง หลังจากที่ปีนี้ส่งรถอีวีลงตลาดเพิ่มอีก 2 รุ่น และกลายเป็นแบรนด์ที่จำหน่ายรถไฟฟ้ามากถึง 5 รุ่น 5 สไตล์ ด้วยบทบาทการเป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย รวมทั้งการส่งออกไปจำหน่ายในภูมิภาคอาเซียน ควบคู่ไปกับการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เสริมความแข็งแกร่งให้สังคมยานยนต์ไฟฟ้าของเมืองไทยสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด รับบทเป็นผู้ผลิตรถยนต์ เอ็มจี โดยมีฐานการผลิตตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเออีสเทิร์นซีบอร์ด 2 (WHA ESIE 2) จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่กว่า 437.5 ไร่ มีกำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 100,000 คันต่อปี ซึ่งปัจจุบันพื้นที่นี้ได้ถูกใช้งานไปแล้วกว่า 300 ไร่ ประกอบด้วย โรงงานประกอบตัวถัง (General Assembly Shop) โรงงานพ่นสีรถยนต์ (Paint Shop) โรงผลิตตัวถัง (Body Shop) รวมถึงคลังจัดเก็บอะไหล่เพื่อรองรับรถยนต์ของเอ็มจีทุกรุ่น ซึ่งพื้นที่อีก 137.5 ไร่ จะถูกพัฒนาให้เป็นพื้นที่…